EdusoftX Busuu thailand english discoveries 5 most uceful tenses in everyday life เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์สำหรับองค์กร สถานศึกษา เรียนแกรมม่า ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ประโยค ภาษาอังกฤษ

สรุป 5 Tenses ภาษาอังกฤษ
ที่ใช้บ่อยที่สุดในชีวิตประจำวัน

รู้เอาไว้ ได้นำไปใช้จริงแน่นอน!

ตามที่ทุกคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่าในภาษาอังกฤษมีการใช้ Tenses ในการบอกเล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดชึ้นในชีวิตประจำวัน ซึ่งประกอบไปด้วย 12 Tenses ด้วยกัน แต่ละ Tense ก็มีหลักการใช้ที่แตกต่างกันออก เพื่อที่จะระบุเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง ว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในช่วงเวลาอดีต ปัจจุบัน หรือว่าอนาคต

หลายคนคงเคยผ่านประสบการณ์นั่งท่องจำโครงสร้าง หรือจำเหตุการณ์ตัวอย่างของแต่ละ Tense กันมามากพอสมควร เชื่อว่ากว่าจะท่องได้ครบก็ทำเอาสับสน ท่องกันจนว้าวุ่นเลยทีเดียว แต่ถ้าหากลองสังเกตกันดูดี ๆ ภาษาอังกฤษทั้งในภาพยนตร์ ซีรีส์ หนังสือ เพลง หรือแม้แต่ในชีวิตประจำวัน เรามักจะเจอ Tenses ที่นิยมใช้กันจริง ๆ เพียงไม่กี่ Tenses เท่านั้น 

วันนี้ EdusoftX จึงได้รวบรวมและสรุป “5 Tenses ที่ใช้บ่อยที่สุดในชีวิตประจำวัน” มาให้ทุกคนได้อ่านกัน ถ้าอยากรู้แล้วว่า 5 Tenses นั้นมีอะไรบ้าง แล้วต้องใช้ในสถานการณ์แบบไหน เลื่อนลงมาดูกันได้เลย 

Present Simple Tense

เริ่มต้นกันด้วย Tense แรกที่ทุกคนจะได้เรียนในภาษาอังกฤษก็คือ Tense ที่ง่ายที่สุดอย่าง Present Simple Tense นั่นเอง Tense นี้สามารถใช้ในสถานการณ์ที่หลากหลาย เช่น การพูดถึงเหตุการณ์ในปัจจุบัน เหตุการณ์ที่เป็นความจริงเสมอ (Fact) เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำ กำหนดการหรือตาราง การให้ข้อมูลทั่วไป หรือการพูดถึงอารมณ์และความรู้สึก

โครงสร้างของ Present Simple Tense:
     ประโยคบอกเล่า – Subject + Verb (s/es) + Object

     ประโยคปฏิเสธ – Subject + Verb to do + Not + Verb + Object

     ประโยคคำถาม – Verb to do + Subject + Verb + Object

เราจะใช้ Verb to do มาเป็นกริยาช่วยในประโยคปฏิเสธและคำถาม โดยมีหลักกการดังนี้

He, She, It, และประธานเอกพจน์ ใช้ does

I, You, We, They และประธานพหูพจน์ ใช้ do

*ข้อควรระวัง Subject Pronoun: He, She, It และประธานเอกพจน์ + Verb จะต้องเติม s หรือ es เสมอ เช่น He plays volleyball every Friday หรือ Mike watches a movie on Wednesday ซึ่งจะเติม s หรือ es ( es เมื่อ Verb คำนั้นๆ ลงท้ายด้วย s, sh, ch, x ,o ,z เช่น watch เป็น watches) ในประโยคบอกเล่าเท่านั้น

คำที่มักใช้ร่วมกับ Present Simple Tense เช่น every, twice a month, always, usually, sometimes

Affirmative
ประโยคบอกเล่า
Negative
ประโยคปฏิเสธ
Question
ประโยคคำถาม
I eat breakfast every morning.
(ฉันรับประทานอาหารเช้าในทุก ๆ เช้า)
I do not eat breakfast every morning.
(ฉันไม่รับประทานอาหารเช้าในทุกๆเช้า)
Do you eat breakfast every morning?
(คุณรับประทานอาหารเช้าในทุกๆเช้าไหม?)
She works at a hospital.
(เธอทำงานที่โรงพยาบาล)
She does not work at a hospital.
(เธอไม่ได้ทำงานที่โรงพยาบาล)
Does she work at a hospital?
(เธอได้ทำงานที่โรงพยาบาลไหม?)
They play tennis on Saturdays.
(พวกเขาเล่นเทนนิสในวันเสาร์)
They do not play tennis on Saturdays.
(พวกเขาไม่ได้เล่นเทนนิสในวันเสาร์)
Do they play tennis on Saturdays?
(พวกเขาได้เล่นเทนนิสในวันเสาร์ไหม?)

Present Continuous Tense

ใช้เพื่ออธิบายเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ณ ตอนนี้ ขณะที่กำลังพูด หรือการกระทำที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยมักจะใช้กับกริยาที่ลงท้ายด้วย -ing (Gerund) และใช้กริยาช่วย “to be” ตามด้วยกริยาหลัก

โครงสร้าง Present Continuous Tense:

     ประโยคบอกเล่า – Subject + Verb to be + V.ing + Object

     ประโยคปฏิเสธ – Subject + Verb to be + Not + V.ing + Object

     ประโยคคำถาม – Verb to be + Subject + V.ing + Object

เราจะใช้ Verb to be มาเป็นกริยาช่วยในประโยคบอกเล่า ประโยคปฏิเสธและคำถาม โดยมีหลักกการดังนี้

He, She, It, และประธานเอกพจน์ ใช้ is 

You, We, They และประธานพหูพจน์ ใช้ are

*ข้อควรระวัง ประธาน I จะใช้กับ am เสมอ

คำที่มักใช้ร่วมกับ Present Continuous Tense เช่น now, right now, at the moment, still, currently

Affirmative
ประโยคบอกเล่า
Negative
ประโยคปฏิเสธ
Question
ประโยคคำถาม
He is watching TV right now.
(เขากำลังดูทีวีอยู่ตอนนี้)
He is not watching TV right now.
(เขาไม่ได้กำลังดูทีวีอยู่ตอนนี้)
Is he watching TV right now?
(เขากำลังดูทีวีอยู่ตอนนี้ไหม?)
They are studying for the exam.
(พวกเขากำลังเรียนเพื่อสอบ)
They are not studying for the exam.
(พวกเขาไม่ได้กำลังเรียนเพื่อสอบ)
Are they studying for the exam?
(พวกเขากำลังเรียนเพื่อสอบอยู่ไหม?)
I am cooking dinner.
(ฉันกำลังทำอาหารเย็นอยู่)
I am not cooking dinner.
(ฉันไม่ได้กำลังทำอาหารเย็นอยู่)
Are you cooking dinner?
(คุณกำลังทำอาหารเย็นอยู่ไหม?)

Present Perfect Tense

ใช้เพื่อบอกถึงเหตุการณ์ในอดีตดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน การพูดถึงประสบการณ์สิ่งที่เคยหรือไม่เคยทำ หรือใช้กับเหตุการณ์ที่เพิ่งจะจบลงไปเมื่อไม่นานมานี้

โครงสร้าง Present Perfect Tense:

     ประโยคบอกเล่า – Subject + Has/Have + V.3 + Object

     ประโยคปฏิเสธ – Subject + Has/Have + Not + V.3 + Object

     ประโยคคำถาม – Has/Have + Subject + V.3 + Object

เราจะใช้ Verb to have มาเป็นกริยาช่วยในประโยคบอกเล่า ประโยคปฏิเสธและคำถาม โดยมีหลักกการดังนี้

He, She, It, และประธานเอกพจน์ ใช้ has 

I, You, We, They และประธานพหูพจน์ ใช้ have

*ข้อควรระวัง have ที่เป็นกริยาแท้ในประโยคจะมีความหมายว่า มี แต่ใน Present Perfect Tense จะไม่มีความมหมายเพราะทำหน้าที่เป็นกริยาช่วย

คำที่มักใช้ร่วมกับ Present Perfect Tense เช่น ever, never, already, just, for, since, lately, recently, so far, many times, several times, others

 
Affirmative
ประโยคบอกเล่า
Negative
ประโยคปฏิเสธ
Question
ประโยคคำถาม
I have been to France many times.
(ฉันเคยไปประเทศฝรั่งเศสมาแล้วหลายครั้ง)
บอกช่วงที่เคยทำตั้งแต่อดีตจนมาถึงปัจจุบัน
I have not been to France.
(ฉันไม่เคยไปประเทศฝรั่งเศสเลย)
บอกประสบการณ์การว่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ยังไม่เคยไปประเทศฝรั่งเศสเลย
Have you ever been to France?
(คุณเคยไปประเทศฝรั่งเศสมาก่อนไหม?)
She has eaten sushi since 2022.
(เธอเคยกินซูชิมาตั้งแต่ปี 2022)
บอกประสบการณ์การว่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันที่กำลังพูดอยู่ เธอเคยกินซูชิมาก่อน
She has not eaten sushi.
(เธอไม่เคยกินซูชิมาก่อนเลย)
บอกประสบการณ์การว่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่เคยได้กินซูซิมาก่อนเลย
Has she ever eaten sushi?
(เธอเคยกินซูชิมาก่อนไหม?)
The train has already arrived.
(รถไฟมาถึงแล้ว)
บอกสิ่งที่เพิ่งจะจบลงไม่นาน
The train has not arrived yet.
(รถไฟยังคงมาไม่ถึง)
บอกเหตุการณ์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันว่ารถไฟยังมาไม่ถึง อาจจะรอมาสักพักแล้ว
Has the train arrived yet?
(รถไฟมาถึงหรือยัง?)

Past Simple Tense

ใช้เพื่ออธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงในช่วงเวลาหนึ่งในอดีต โดยที่มีการระบุเวลาหรือช่วงเวลาที่เป็นที่แน่นอน และยังสามารถเล่าเรื่องที่เสร็จสิ้นหรืออธิบายเหตุการณ์ในอดีตทั่วไปได้

โครงสร้าง Past Simple Tense:

     ประโยคบอกเล่า – Subject + V.2 + Object

     ประโยคปฏิเสธ – Subject + Did + Not + V.1 + Object

     ประโยคคำถาม – Did + Subject + V.1 + Object

เราจะใช้ Verb to do มาเป็นกริยาช่วยในประโยคปฏิเสธและคำถาม แต่ใน Tense นี้จะพูดถึงเหตุการณ์ในอดีต ดังนั้น จาก do จะต้องเปลี่ยนรูปเป็น ‘did’ เสมอ โดยประธานทุกตัวสามารถใช้คู่กับ did ได้เลย 

*ข้อควรระวังในประโยคปฏิเสธและประโยคคำถามเมื่อใช้ did มาเป็นกริยาช่วยแล้ว กริยาแท้จะเป็น Verb ที่ไม่ต้องผันเสมอ

คำที่มักใช้ร่วมกับ Past Simple Tense เช่น yesterday, last hour, last night, last summer, 8 minutes ago, 5 days ago, 3 weeks ago, 1 month ago, 4 years ago

 
Affirmative
ประโยคบอกเล่า
Negative
ประโยคปฏิเสธ
Question
ประโยคคำถาม
He traveled to Japan last year.
(เขาไปเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่นในปีที่แล้ว)
He did not travel to Japan last year.
(เขาไม่ได้ไปเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่นในปีที่แล้ว)
Did he travel to Japan last year?
(เขาได้ไปเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อปีที่แล้วไหม?)
She watched a movie yesterday.
(เมื่อวานนี้เธอดูหนังไป 1 เรื่อง)
She did not watch a movie yesterday.
(เมื่อวานนี้เธอไม่ได้ดูหนัง)
Did she watch a movie yesterday?
(เมื่อวานนี้เธอได้ดูหนังไหม?)
They visited their grandparents last weekend.
(พวกเขาไปเยี่ยมปู่ย่าตายายของเขาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว?)
They did not visit their grandparents last weekend.
(พวกเขาไม่ได้ไปเยี่ยมปู่ย่าตายายของเขาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว?)
Did they visit their grandparents last weekend?
(พวกเขาได้ไปเยี่ยมปู่ย่าตายายของเขาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วไหม?)

Future Simple Tense

ใช้เพื่อพูดถึงเหตุการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น หรือมีโอกาสเกิดขึ้นในอนาคต โดยไม่มีการระบุเวลาที่แน่นอน

โครงสร้าง Future Simple Tense:

     ประโยคบอกเล่า – Subject + Will + Verb (infinitive form) + Object

     ประโยคปฏิเสธ – Subject + Will + Not + Verb (infinitive form) + Object

     ประโยคคำถาม – Will + Subject + Verb (infinitive form) + Object

V. Infinitive คือ กริยาไม่แท้ชนิดหนึ่ง โดย Verb นี้จะอยู่ในรูปที่ไม่มีการเติม s/es หรือ ing ต่อท้าย และไม่มีการผันหรือเปลี่ยนรูปใด ๆ ทั้งสิ้น

เราจะใช้ Will หรือ Modal verb ตัวอื่น ๆ มาเป็นกริยาช่วยในแต่ละประโยค โดยประธานทุกตัวสามารถใช้คู่กับ will หรือ Modal verb ได้เลย

*ข้อควรระวัง Modal Verbs ได้แก่ must, need, may, might, can, could, will, would, shall, should เมื่อ Verb ที่ตามหลังมาจะใช้ Verb (infinitive form) เท่านั้น

 
Affirmative
ประโยคบอกเล่า
Negative
ประโยคปฏิเสธ
Question
ประโยคคำถาม
I will call you later.
(เดี๋ยวฉันโทรไปหาใหม่นะ)
I will not call you later.
(ฉันจะไม่โทรไปหาเธอคราวหลังนะ)
Can I call you later?
(เดี๋ยวฉันโทรหาเธอคราวหลังได้ไหม?)
Jessie will visit her friends tomorrow.
(เจสซี่จะไปเยี่ยมเพื่อนของเธอในวันพรุ่งนี้)
Jessie will not visit her friends tomorrow.
(เจสซี่จะไม่ไปเยี่ยมเพื่อนของเธอในวันพรุ่งนี้)
Will Jessie visit her friends tomorrow?
(เจสซี่จะไปเยี่ยมเพื่อนของเธอในวันพรุ่งนี้ไหม?)
Natasha and William should drink a lot of water.
(นาตาชาและวิลเลียมควรดื่มน้ำให้มากๆ)
Natasha and William should not drink a lot of water.
(นาตาชาและวิลเลียมไม่ควรดื่มน้ำให้มาก ๆ )
Should Natasha and William drink a lot of water?
(นาตาชาและวิลเลียมควรดื่มน้ำให้มาก ๆ ไหม?)

และทั้งหมดนี้ก็เป็น 5 Tenses ที่เราจะได้เจอกันบ่อย ๆ ในชีวิตประจำวันนั่นเอง หวังว่าทุกคนที่อ่านมาจนถึงตรงนี้จะมีความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ Tenses ทั้ง 5 มากขึ้น อย่าลืมนำ Tenses เหล่านี้ไปฝึกใช้ให้ถูกต้องในการพูดคุยในชีวิตประจำวันด้วยนะ หรือถ้าคุณหรือองค์กรของคุณอยากเรียนรู้ภาษาอังกฤษให้เป๊ะกว่าเดิม เรียนครบให้ทั้ง 12 Tenses และ 4 Skills ติดต่อสอบถาม EdusoftX เพื่อหาโซลูชันการเรียนภาษาที่เหมาะสมกับองค์กรของคุณได้เลย

สนใจเรียนภาษาอังกฤษสำหรับองค์กร/ สถานศึกษา สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 

📌Line: @edusoftxth

📌Tel: 02 241 6870

Share This :

Find out how far your educational institutions can go with language learning from EdusoftX